“สุขจากการแสวงหาความสำเร็จ” เป็นเรื่องน่าคิดว่าเราควรจะมุ่งตรงไปที่ความสุข หรือมุ่งตรงไปที่ความสำเร็จดี
บางคนบอกว่ามุ่งไปที่ความสำเร็จสิ สำเร็จแล้ว ความสุขจะตามมาเอง แต่บางคนบอกว่า
บางทีมันไม่สำเร็จสักที หวังไว้ว่าอนาคตจะรวยให้ได้ แต่ทำงานมา 20 ปี แล้วก็ไม่รวยสักที
อาจจะตายก่อนที่จะมีความสุขก็ได้ดังนั้น
มุ่งไปที่ความสุขก่อนดีกว่าไหม...แล้ววิธีคิดแบบใดถูกต้องกันแน่
ต่างคนต่างมีเหตุผลของตนเอง
คนที่มุ่งไปยังความสำเร็จกล่าวว่า ถ้าไปมุ่งหมายแต่ความสุขก็จะไม่สำเร็จสักที
เพราะพอทำงานหนักก็เหนื่อยพอไม่สุขก็ไม่เอางานหนัก
หรือเด็กนักเรียนอ่านหนังสือค้นคว้ามาก ๆ เข้าก็บอกว่าเครียด
ไม่สุขขอไปเล่นเกมไปพักผ่อนเที่ยวเตร็ดเตร่ก่อนดีกว่ามีความสุขกว่า
ก็เลยไม่ประสบความสำเร็จในการเรียน ไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานสักที สุดท้ายก็ไม่มีความสุขอยู่ดี
แล้วเราคิดว่าแนวคิดใดน่าจะเป็นแนวคิดที่ถูกต้องที่สุด
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “บุคคลใดไม่คำนึงถึงหนาวร้อน
อดทนให้เหมือนหญ้า กระทำกิจที่ควรทำด้วยเรี่ยวแรงของลูกผู้ชาย
บุคคลผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมจากสุข”
ไม่ว่าร้อนหรือหนาวก็สู้ ใครจะเหยียบย่ำอย่างไรก็อดทนยืนอยู่ได้
ยังคงงอกงามเขียวขจีเหมือนหญ้าแพรก ไม่ใช่เจอใครต่อว่าก็น้อยเนื้อต่ำใจ น้ำตาร่วง
เลิกล้มความตั้งใจง่ายๆ เพียงเพราะน้อยใจคำคน
และสิ่งสำคัญคือกระทำกิจที่ควรทำด้วยเรี่ยวแรงของลูกผู้ชาย
บุคคลผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมจากสุข
เหล่านี้แสดงว่าพระองค์ให้มุ่งว่าอะไรคือสิ่งที่เราควรทำ
ก็ให้ทำสิ่งนั้นเต็มที่โดยไม่กลัวหนาวไม่กลัวร้อน
ไม่กลัวความกระทบกระทั่งให้เจ็บใจ แล้วเดินหน้าทำสิ่งที่ควรทำ
ด้วยเรี่ยวแรงของลูกผู้ชาย บุคคลผู้นั้นย่อมประสบความสุขและความสำเร็จ
อีกบทหนึ่งพระองค์ตรัสไว้ว่า
มนุษย์ควรจะต้องบำเพ็ญประโยชน์ให้ครบ 3
ประการ คือ “ประโยชน์ชาตินี้” ได้แก่ ตั้งเนื้อตั้งตัวตั้งฐานะให้ได้
นกตัวเล็ก ๆ ยังอุตส่าห์สร้างรังอยู่ไว้คุ้มแดดคุ้มฝน หนูตัวเล็ก ๆ
ก็ยังอุตส่าห์ขุดรูอยู่อาศัย เราเกิดมาเป็นคนทั้งทีก็ต้องเอาดีให้ได้
ต้องสร้างฐานะสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว
มีอาชีพการงานที่มั่นคงเป็นหลักแหล่งอย่างนี้ เป็นต้น
ประโยชน์ระดับสองคือ “ประโยชน์ชาติหน้า”
ได้แก่ สร้างบุญสร้างกุศล พอละจากโลกนี้ไปแล้วเราจะได้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์
ใครที่ชาตินี้ตั้งฐานะได้แต่ไม่สร้างบุญสร้างกุศลเลย ทำแต่บาป โกงกินเขา ทุจริตเขา
เอาเปรียบเบียดเบียนเขา โดยอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย อาศัยความรู้ที่เหนือกว่า
ตนเองได้แต่คนอื่นเดือดร้อนอย่างนี้ผิดหลักธรรมในพระพุทธศาสนา
ถึงแม้จะไม่ผิดกฎหมายแต่จะเป็นบาปติดตัว พอละโลกแล้วตกนรกเลย สุขไหม...มันไม่สุข
ไม่คุ้มกัน
ถ้าจะให้สุขจริงต้องทำ “ประโยชน์อย่างยิ่ง”
ด้วย กระทำประโยชน์ชาติหน้า
ทำให้เรามั่นใจได้ว่าตายแล้วเราไปสุคติโลกสวรรค์แน่นอน
แต่ควรบำเพ็ญประโยชน์อย่างยิ่ง ได้แก่ “ตั้งใจปฏิบัติธรรม” สวดมนต์
นั่งสมาธิเป็นประจำสม่ำเสมอ จะทำให้กิเลสในตัวเราเบาบางลง
ได้เข้าใกล้หนทางพระนิพพาน
ถ้าเราจับหลักใหญ่ ๆ นี้ได้
เราก็จะมองเห็นช่องชัดเจนเลยว่าการแสวงหาความสุขจากความสำเร็จในการงาน
หรือในชีวิตของเรานั้นต้องปฏิบัติอย่างไร ที่แน่ ๆ
คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราตามใจตนเอง คือตามใจกิเลส
ออกไปเที่ยวเล่นกินเหล้าเสพยาก็บอกว่าสุขดี ความจริงเสพยาไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
แต่เป็นความสนุกเพลิดเพลินไปชั่วขณะ แล้วจะออกผลเป็นความทุกข์ในภายหลัง
เพราะฉะนั้น
ใครจะมาอ้างว่าตนกำลังแสวงหาความสุข สุขนิยมเป็นฮิปปีดีกว่า
นั่นมีความสุขผิดหลักแล้ว เราต้องสำรวจว่าอะไรคือสิ่งที่เราควรทำ
และสิ่งที่ควรทำนั้นเป็นประโยชน์ต่ออาชีพการงาน
การตั้งฐานะอย่างสุจริตชอบธรรมในชาตินี้ แล้วมีน้ำใจเอื้อเฟื้อช่วยเหลือคนอื่น
ช่วยงานสาธารณะกุศล การสงเคราะห์โลก ก็เป็นบุญกุศลอย่างหนึ่ง
แล้วสวดมนต์นั่งสมาธิแบ่งเวลาปฏิบัติธรรมโดยทำอย่างถูกหลัก
อะไรที่ผิดศีลธรรมเราไม่ทำ
แม้ไม่ผิดกฎหมายก็ไม่ทำ มาถึงตรงนี้อยากจะฝากข้อคิดเป็นหลักการ “ทฤษฎีกระปุกทราย”
ไว้ด้วยว่า ถ้าเรามีหินก้อนโตเท่ากำปั้นสักสามสี่ก้อน
มีก้อนกรวดขนาดเล็กเท่านิ้วโป้งสักสามสิบก้อน และมีทรายอีกหนึ่งถุงนำมาใส่กระปุก
ถ้าเรานำทรายใส่ลงไปก่อน ทรายเหล่านั้นก็จะไปกองอยู่ก้นกระปุก แล้วนำก้อนกรวดขนาดเท่านิ้วโป้งใส่ตามลงไป
กรวดก็จะไปกองอยู่บนทราย แล้วพอเราจะนำหินก้อนใหญ่อีกสามสี่ก้อนใส่ตามลงไป
ปรากฏว่าใส่ไม่ได้แล้ว มันเต็มล้นกระปุกแล้ว
แต่ถ้าเปลี่ยนลำดับใหม่ด้วยการนำหินก้อนโต
ๆ ใส่ลงไปก่อนแล้วจึงใส่ตามลงไปด้วยก้อนกรวด กรวดก็จะลงไปแทรกตามช่องว่างของหิน
พอเราเททรายลงไปอีก ทรายก็จะเข้าไปแทรกตามช่องว่างที่เหลือเล็กลงจนเต็ม ดังนั้น
วิธีนี้ทำให้เราสามารถนำหินก้อนโต ก้อนกรวด
และทรายทั้งหมดใส่ลงไปในกระปุกได้หมดอย่างสบาย ๆ
เปรียบเทียบกับชีวิตจริงของคน
ถ้าเรารู้จักจัดลำดับความสำคัญว่างานอะไรคืองานที่สำคัญที่สุดต่อชีวิตเรา 3 อย่าง ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
คือสำคัญต่อประโยชน์ในชาตินี้ ได้แก่ การแสวงหาความรู้ต่าง ๆ ฝึกพัฒนาทักษะต่าง ๆ
ลำดับต่อมาคือ
สำคัญต่อประโยชน์ชาติหน้าด้วยการหมั่นสร้างบุญกุศลและสำคัญต่อประโยชน์อย่างยิ่งด้วยสวดมนต์ภาวนา
พอเราเอางานสำคัญ ๆ
ใส่ลงไปก่อนในชีวิตแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ แต่ละเดือน
เสร็จแล้วงานที่สำคัญรองลงมาเราก็จับแทรกลงไปในช่องว่างที่ยังพอใส่ได้ ส่วนงานเล็ก
ๆ น้อย ๆ กระจุกกระจิก ที่ไม่ได้เป็นสาระอะไรมากเท่าใดแต่เราอยากทำ
ก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธทั้งหมด เราสามารถทำได้โดยใส่ลงไปเป็นลำดับสุดท้าย
หากเราอยากจะไปดูหนังฟังเพลงหรือไปท่องเที่ยวบ้างก็ทำได้
ก็จับแทรกลงไปอีกตามช่องว่างในชีวิตที่พอมีอยู่
ทำอย่างนี้จะพบว่าเราสามารถทำประโยชน์หลักเหมือนหินก้อนโต ๆ ได้ครบหมด
แล้วงานย่อยที่เป็นประโยชน์รองลงมาก็สามารถทำได้ครบ ส่วนงานเล็ก ๆ น้อย ๆ
ก็สามารถทำได้เช่นกัน
คนที่ยังจัดลำดับความสำคัญผิด
มุ่งให้ความสำคัญกับงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนตามความอยากของตนเอง
เลือกที่จะใส่งานที่พึงพอใจลงไปก่อน อย่างเล่นเกมคอมพิวเตอร์ก่อน
อ่านหนังสือนิยายก่อน ดูละครก่อน ไปเที่ยวเล่นก่อน ปรากฎว่าเวลาที่จะทำกิจหลัก ๆ
ไม่พอ ใส่ประโยชน์ในชีวิตไม่ลงเพราะมันเต็มไปหมด
การจัดลำดับความสำคัญของงานในชีวิตจึงสำคัญมาก
อะไรสำคัญใส่ก่อน แล้วตามด้วยงานที่สำคัญรองลงมา ลดหลั่นกันไปตามลำดับ
แล้วเราจะพบว่าตนเองเป็นคนหนึ่งที่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ทั้งชาตินี้ชาติหน้า
แล้วใกล้ต่อหนทางพระนิพพานด้วย รวมทั้งยังมีความสุข ความสบาย ความอิ่มใจในทุกวัน
แม้งานจะหนักก็ยังยิ้มได้ตลอด
เรียกว่าเหนื่อยอย่างมีความสุข ทำงาน
หนักอย่างมีความสุข และเป็นความสุขที่แท้จริง
กราบขอบพระคุณ :
หนังสือ PERFECTIONIST : เรื่องสุขจากการแสวงหา ความสำเร็จ หน้า 96-115 พร้อมภาพประกอบ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
ตอบลบอนุโมทนาบุญกับบทความที่ให้ข้อคิดดีๆแบบนี้ด้วยครับ
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบ