วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2562

คนพาลกับบัณฑิตดูที่ตรงไหน ?



วันนี้ขอนำโอวาทอันทรงคุณค่าของหลวงพ่อทัตตชีโว ได้เมตตาแนะนำสั่งสอนลูกศิษย์ไว้เพื่อเป็นแนวทางในการฝึกตัวเองให้เป็นชาวพุทธที่เข้มแข็งมาแบ่งปัน โปรดติดตามอ่านได้เลย




ในการฝึกความเป็นชาวพุทธให้เข้มแข็ง สิ่งแรกที่ต้องมองให้ออกก่อนก็คือนิสัยทั้งดีและไม่ดีของตัวเราเอง โดยเฉพาะนิสัยพาลกับนิสัยบัณฑิตที่มีอยู่ในตัวเรา

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คนในโลกนี้ ถ้าแบ่งออกแล้วจะได้สองกลุ่มใหญ่ กลุ่มหนึ่งเรียกว่า “คนพาล” อีกกลุ่มหนึ่งเรียกว่า “บัณฑิต” * พาลปัณฑิตสูตร, สํ.นิ. 16/19/32-33 (มจร.)

1.ความแตกต่างระหว่างคนพาลกับบัณฑิต

ถามว่า “คนพาล” กับ “บัณฑิต” ต่างกันอย่างไร
“คนพาล” กับ “บัณฑิต” วัดกันที่ความหล่อความสวยใช่ไหม...ไม่ใช่
วัดที่การศึกษาใช่ไหม...ไม่ใช่
วัดกันที่ยศใช่ไหม...ไม่ใช่
วัดกันด้วยความรวยใช่ไหม...ไม่ใช่
ติดเครื่องหมายบอกว่า หน้าตาอย่างนี้คนพาล หรือหน้าตาอย่างนี้บัณฑิต ใช่ไหม...ไม่ใช่

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คนพาลกับบัณฑิตนั้น มีความต่างกันอยู่ตรงที่ “ใจ”
*ยมกวรรคที่ 1, ขุ.ธ. 40/11/1-2(มมร.)
การเป็นคนพาลหรือบัณฑิตไม่ได้อยู่ที่รูปร่าง หน้าตา การศึกษา ยศ ตำแหน่ง ฐานะทางสังคม ทรัพย์สินเงินทอง หรือเพศภาวะ ทุกคนมีโอกาสเป็นคนพาลหรือบัณฑิตได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือเป็นพระ





2.กำลังของคนพาลกับบัณฑิต

พระพุทธองค์ตรัสไว้ชัดเจนว่า ลักษณะของคนพาลที่ปรากฏให้เห็น คือ มีการเพ่งโทษผู้อื่นเป็นกำลัง เป็นพวกชอบการจับผิดคนอื่น ส่วนลักษณะของบัณฑิตมีการแก้ไขปรับปรุงตนเองเป็นกำลัง*ฐานสูตร, องฺ.จตุกฺก. 35/115/310-311 (มมร.)




บุคคลที่อยากรู้ว่า ตนเป็นคนพาล หรือเป็นบัณฑิต ครั้นเมื่อไปส่องกระจกดู ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจตนว่า มีเชื้อพาลอยู่เต็มตัว แต่พอเห็นเงาตัวเองเท่านั้น กลับกลายเป็นหลงไปว่า ตัวเองเป็นบัณฑิตกันทุกคน

3.ทุกคนมีทั้งเชื้อพาลและบัณฑิตอยู่ในตัวผลัดกันขึ้น ๆ ลง ๆ

พวกเราคงต้องมาพินิจพิจารณาตัวเองกันให้ดี เพราะอันที่จริงแล้วทุกคนต่างมีเชื้อพาลและบัณฑิตอยู่ในตัวด้วยกันทั้งสิ้น



ถ้าทุกคนมีความเป็นบัณฑิตบริบูรณ์ไม่มีข้อบกพร่องเลย วันนี้เราคงไม่ได้มาเจอหน้ากันแถวนี้ คงหมดกิเลส เข้านิพพานกันไปหมดแล้ว แต่พวกเรายังมานั่งอยู่ที่นี่ เพราะยังมีเชื้อพาลหลงเหลืออยู่


อย่างไรก็ตาม ถ้าเราเป็นคนพาลคนเลวจริง ๆ ไม่มีเชื้อดีอยู่เลย ก็คงไม่อุตส่าห์มาวัดกันอยู่เป็นประจำหรอก แต่เพราะเรารู้ตัวว่านิสัยบางอย่างของเรายังไม่ดี คือมีเชื้อพาลปนอยู่เหมือนกัน เราจึงตั้งใจเข้าวัดปฏิบัติธรรมกัน เมื่อพบว่ามีอะไรบกพร่อง ก็พยายามแก้ไขปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยไปโดยไม่ย่อท้อ





พฤติกรรมเหล่านี้ย่อมแสดงว่าในตัวของพวกเรานั้น ก็ยังมีทั้งเชื้อพาลและเชื้อบัณฑิตปะปนกันอยู่ เดี๋ยวก็ขึ้นเดี๋ยวก็ลง เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย ผลัดกันขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่อย่างนี้ นี่คือความจริงที่พวกเรามองข้ามไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราต้องตั้งใจฝึกความเป็นชาวพุทธของตัวเราให้เข้มแข็ง โดยการเพิ่มพูน “วิสัยบัณฑิต” ให้แก่ตัวเราเอง

ความหมายของวิสัยบัณฑิต

วิสัย แปลว่า ความสามารถ ความชำนาญ
บัณฑิต แปลว่า ผู้มีใจผ่องใสเป็นปกติ





วิสัยบัณฑิต แปลว่า ผู้มีความชำนาญในการรักษาใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสเป็นปกติ ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ร้ายหรือดีเพียงใดก็ตาม

จากคำแปลนี้ได้ส่องทางให้เราเห็นเป้าหมายฝึกตัวเองไว้อย่างชัดเจนว่า ข้อสำคัญของวิสัยบัณฑิตนั้น อยู่ที่การฝึกความสามารถจนมีความชำนาญในการรักษาความผ่องใสของใจไว้ได้ในทุกสถานการณ์นั่นเอง

ทำอย่างไรเราถึงจะเพิ่มวิสัยบัณฑิตหรือเพิ่มความผ่องใสให้ใจของตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง ?

มีบทฝึกอยู่สองวิธี ซึ่งจะต้องฝึกควบคู่กันไป คือ “บทฝึกส่วนบุคคล” กับ “บทฝึกแบบเป็นทีม”


พระธรรมเทศนาโดย...หลวงพ่อทัตตชีโว 


 เรามาศึกษา "บทฝึกส่วนบุคคล" และ "บทฝึกแบบเป็นทีมได้ในตอนต่อไปนะคะ



ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง :

พระธรรมเทศนาโดยหลวงพ่อทัตตชีโว เรื่อง คนพาลกับบัณฑิตต่างกันอย่างไร ? 

3 ความคิดเห็น:

ประโยชน์ที่ได้รับ...จากการทำสมาธิ

    สมาธิก่อให้เกิดประโยชน์อย่างไรบ้าง บางคนหากไม่ได้สังเกตก็อาจไม่ทันรู้ตัวว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองนั้นเป็นผลมาจากสติปั...