บุญคืออะไร ให้ผลอย่างไร
บุญ คือ สิ่งที่ชำระจิตสันดานให้หมดจด บุญจึงมีลักษณะเป็นความถูกต้อง ความดีงาม ซึ่งเมื่อใครทำแล้วจะมีความสุขกาย สบายใจ มีความเจริญก้าวหน้า จนถึงเป็นเหตุให้ถึงสุคติภูมิ และเป็นเหตุให้ถึงความสิ้นกิเลสได้
บุญกิริยาวัตถุ หมายถึง เหตุเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ เมื่อทำแล้วจะได้รับผลเป็นความสุข ถ้าแบ่งโดยย่อมี 3 ประการ ( ทาน ศีล ภาวนา) โดยพิสดารมี 10 ประการ คือ
1. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน
2. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
3. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
4. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน
5. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น
6. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการแผ่ส่วนบุญ
7. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาผลบุญ
8. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม
9. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม
10.ทิฏฐุชุกรรม บุญสำเร็จด้วยการทำความเห็นให้ตรง
บุญ คือ สิ่งที่ชำระจิตสันดานให้หมดจด บุญจึงมีลักษณะเป็นความถูกต้อง ความดีงาม ซึ่งเมื่อใครทำแล้วจะมีความสุขกาย สบายใจ มีความเจริญก้าวหน้า จนถึงเป็นเหตุให้ถึงสุคติภูมิ และเป็นเหตุให้ถึงความสิ้นกิเลสได้
บุญกิริยาวัตถุ หมายถึง เหตุเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ เมื่อทำแล้วจะได้รับผลเป็นความสุข ถ้าแบ่งโดยย่อมี 3 ประการ ( ทาน ศีล ภาวนา) โดยพิสดารมี 10 ประการ คือ
1. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน
2. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
3. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
4. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน
5. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น
6. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการแผ่ส่วนบุญ
7. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาผลบุญ
8. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม
9. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม
10.ทิฏฐุชุกรรม บุญสำเร็จด้วยการทำความเห็นให้ตรง
บุญ คือ พลังแห่งความดี
พลังแห่งความบริสุทธิ์ที่เรากระทำด้วยกาย วาจา ใจ
ทางมาแห่งบุญมี ทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น
บุญแต่ละอย่างมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ให้ผลไม่เหมือนกัน
ทานทำให้รวย
ศีลทำให้สวย
ให้หล่อ
ภาวนาทำให้ฉลาด
เราจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วให้ได้ผลครอบจักรวาลทั้งหมด
ไม่ได้ ต้องทำให้ครบทุกอย่างเหมือนรับประทานอาหารก็ต้องทานให้ครบทั้ง 5 หมู่ ร่างกายจึงเจริญเติบโต แข็งแรง
เมื่อเราจะมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม
ซึ่งต้องอาศัยบารมีมาก เราก็ต้องสั่งสมบุญให้มากๆ ละบาปอกุศล แล้วก็ทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส
เราจะละบาปอย่างเดียว แล้วไม่สั่งสมบุญกุศลไม่ได้
ชาวโลกมักจะคิดเอาเองว่า
เราไม่ได้ทำความชั่วอะไร ไม่ได้เบียดเบียนใคร ไม่ได้รบกวนใครอย่างนี้ก็ดีแล้ว
ทั้งทีบางทีเขายังไม่รู้เลยว่า อะไรคือชั่ว ความจริงแล้วยังอยู่ในระดับละชั่ว
แต่ยังไม่ได้ทำความดี การทำความดีมันต้องทำเพิ่มเติมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ทั้งทาน ศีล
ภาวนา เป็นต้น
บุญที่เราทำในชาตินี้
จะส่งผลให้เรามีอุปกรณ์ในการสร้างบารมีต่อไปในภพเบื้องหน้าอย่างสะดวกสบาย
ง่ายดายกว่าการสร้างบารมีในชาตินี้ และบุญส่วนหนึ่ง จะไปตัดรอนแก้ไขวิบัติบาปศักดิ์สิทธิ์
ที่เราดำเนินชีวิตผิดพลาดในชาติอดีตที่ผ่านมานับชาติไม่ถ้วน นับเรื่องกันไม่ถ้วน
รวมทั้งชาติปัจจุบันนี้ด้วย
ทำบาป 1 ครั้ง
ต้องชดใช้หลายครั้ง เราคงได้ยินคำว่า 500 ชาติบ้าง 1,000 ชาติบ้าง ขึ้นอยู่กับว่า ทำหนักหรือเบา ทำกับใคร
ถ้าทำบาปกับผู้มีศีลมีธรรม ก็เป็นครุกรรมหรือกรรมหนัก
ถ้าทำกับผู้ไม่มีศีลไม่มีธรรม ก็เป็นกรรมเบาบางลงมา
เพราะฉะนั้นกระแสวิบากจึงสั้นยาวไม่เท่ากัน แล้วชาติหนึ่งทำตั้งหลายครั้ง
หลายเรื่อง หลายคน ทำกับสัตว์บ้าง กับคนบ้าง กับผู้มีพระคุณบ้าง เพื่อนมนุษย์บ้าง
วิบากกรรมเหล่านี้จะเป็นผังสำเร็จติดอยู่ตรงกลางกาย แล้วไม่สับสนด้วย
มันเซตเรียงตัวเหมือนเซตโปรแกรมเครื่องไว้ ต้องทำอย่างนี้ อันไหนจะให้ผลก่อน
อันไหนจะให้ผลหลัง อันไหนให้ผลยาว อันไหนให้ผลสั้น
ตัวอย่างการทำกรรมหนักกับผู้มีศีล
บุญที่เราทำจะไปตัดรอนวิบากกรรมวิบากมาร
คำว่า ตัด ไม่ใช่เหมือนเอามีดไปหั่น ไปตัด
แต่มันจะเข้าไปขจัดวิบัติบาปศักดิ์สิทธิ์ เช่น บาปกรรมที่จะทำให้เราไปเกิดเป็นผู้หญิงหรือเป็นกะเทย
หรือมีโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรง หรือตกทุกข์ได้ยาก เป็นต้น
วิบากกรรมเหล่านี้ก็จะเบาบางเจือจางไป บางอย่างหนักก็เป็นเบา บางอย่างเบาก็เป็นหาย
แล้วก็เซตโปรแกรมใหม่ ให้เรามีรูปสมบัติ
ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ คือ รูปร่างทั้งสวย ทั้งหล่อ แข็งแรง อายุยืนยาว
ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือมีโรคน้อย มีทรัพย์สมบัติที่ได้อย่างสะดวกสบาย
อย่างง่ายดาย คุณสมบัติก็มีความรู้ดี ความสามารถดี มีความประพฤติดี เฉลียวฉลาด
มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพาน เป็นต้น
เพราะฉะนั้น
บุญที่เราทำจะทำให้เรามีอุปกรณ์ในการสร้างความดี สร้างบารมีในภพชาติเบื้องหน้า
อีกส่วนหนึ่งจะไปแก้วิบากกรรมซึ่งวิบัติบาปศักดิ์สิทธิ์ติดมา
ให้เป็นบุญศักดิ์สิทธิ์ไปแก้กัน
บุญเท่านั้นจึงจะไปขจัดบาปได้ ล้างบาปได้
และต้องทำด้วยตัวเองด้วย
ดังนั้นเมื่อทราบถึงอานุภาพแห่งบุญว่าอำนวยผลแต่สิ่งดี จึงควรรีบเร่งทำบุญเสียแต่ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะการทำบุญ คือ ความดีนอกจากเป็นการกำจัดความตระหนี่ในใจของตนแล้ว ยังเป็นมาตรฐานที่จะนำตนให้ขึ้นสู่มรรคผลและนิพพาน อันเป็นดินแดนเกษมอย่างยอดเยี่ยมต่อไป.
ดังพุทธศาสนสุภาษิต ความว่า
ดังนั้นเมื่อทราบถึงอานุภาพแห่งบุญว่าอำนวยผลแต่สิ่งดี จึงควรรีบเร่งทำบุญเสียแต่ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะการทำบุญ คือ ความดีนอกจากเป็นการกำจัดความตระหนี่ในใจของตนแล้ว ยังเป็นมาตรฐานที่จะนำตนให้ขึ้นสู่มรรคผลและนิพพาน อันเป็นดินแดนเกษมอย่างยอดเยี่ยมต่อไป.
ดังพุทธศาสนสุภาษิต ความว่า
อิธ โมทติ เปจฺจ โมทติ กตปุญฺโญ อุภยตฺถ โมทติ
โส โมทติ โส ปโมทติ ทิสฺวา กมฺมวิสุทฺธิมตฺตโน.
ผู้ทำบุญแล้ว ย่อมบันเทิงในโลกนี้ ละไปแล้ว ย่อมบันเทิง ชื่อว่า
ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง, เขาเห็นความบริสุทธิ์แห่งกรรม
ของตนแล้ว ย่อมบันเทิงปราโมทย์.
ผู้ทำบุญแล้ว ย่อมบันเทิงในโลกนี้ ละไปแล้ว ย่อมบันเทิง ชื่อว่า
ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง, เขาเห็นความบริสุทธิ์แห่งกรรม
ของตนแล้ว ย่อมบันเทิงปราโมทย์.
ที่มา : ขุททกนิกาย ธรรมบท (ขุ. ธ.)
กราบขอบพระคุณที่มาของความสมบูรณ์บลอค :
บทความโอวาท "คำตอบ" คุณครูไม่ใหญ่(เล่มที่ 1) หน้า 134-136
บทความหนังสือเรียนนักธรรมโท เรียงความแก้กระทู้ธรรมหน้า 207-208
การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก ยิ่งเกิดมาเจอพระพุทธศาสนายิ่งยากกว่ายากมาก เมื่อโชคดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้เจอคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พึงรักษาความโชคดีด้วยการหมั่นเข้าวัดบำเพ็ญบุญ ทำทาน รักษาศีลและเจริญสมาธิภาวนา เพราะบุญไม่มีใครทำแทนใครได้ อยากได้ต้องทำเอง ขอกราบอนุโมทนาบุญในโอวาทของใครคนนึง ยิ่งอ่านยิ่งปลื้มชาตินี้เราเกิดมาได้กายมนุษย์ได้เจอคำสอนของพระพุทธศาสนา ได้เจอครูบาอาจารย์ที่สุดยอดที่สุด ท่านสอนให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขแลเปลอดภัยในสังสารวัฏ สาธุค่ะ
ตอบลบขอบคุณสำหรับบทความดีๆที่ให้ข้อคิดที่ดีๆแบบนี้ครับ
ตอบลบ